ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับ Hotel Report
สำหรับการทำธุรกิจโรงแรมนั้น ตัวเลขง่ายๆ ที่สามารถบ่งบอกแนวโน้มและรายได้ของโรงแรมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นตัวเลขที่เกี่ยวกับรายได้ค่าห้องและอัตราการเข้าพักซึ่งหลักๆ แล้วจะประกอบไปด้วยหัวข้อดังนี้คือ
• Occupancy หรือ Occ. เวลาที่พนักงานโรงแรมเค้าคุยกันหรืออวดกันเล่น ๆ ในหมู่พนักงานเค้าเจอหน้ากันก็จะถามกันประมาณว่า “เฮ้ย โรงแรมแก Occupancy เท่าไหร่” หรือบางครั้ง GM หรือ เจ้าของโรงแรมเดินมาถามเองเลยก็มีว่า Occupancy วันนี้เท่าไหร่” ซึ่งไอ้ตัว Occupancy นี้มันเป็นตัวบ่งบอกถึงปริมาณแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมต่อห้องพักที่โรงแรมมีทั้งหมดในวันนั้นหลังจากปิดรอบว่าเป็นกี่ % จากจำนวนเต็ม 100% โดยสูตรการคำนวณนี้จะมาจาก Total Guest In House Room / Total Room Available แล้วคูณด้วย 100 เช่น สมมุติว่าวันนั้นมีแขก In House 250 ห้องและโรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 500 ห้อง วิธีคิดก็จะเอา 250/500*100 = 50.00% แบบนี้ก็แสดงว่ามีแขกเข้าพักถึง 50% จากจำนวนห้องพักที่โรงแรมนั้นมี ข้อมูลตัวนี้โรงแรมแต่ละแห่งจะสามารถแชร์กันได้แต่ต้องตกลงกันก่อนนะครับว่าจะทำการแบ่งปันกันนะเพราะบางที่เขาก็ไม่อยากแชร์กับใคร
- Average Room Rate หรือ ARR เป็นการหาค่าเฉลี่ยของห้องพักที่เป็น Guest In House Room ในวันนั้น บางโรงแรมก็จะนำห้องที่เป็น Complimentary Room มารวมในการหา ARR ด้วยแต่บางโรงแรมก็ไม่นำมารวมเพราะจะทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำลงวิธีการหา ARR ทำได้โดยการนำ Total Room Revenue (รายได้เฉพาะค่าห้อง) / Total Guest Paying Room (เฉพาะห้องที่แขกจ่ายเงินมาไม่รวมห้อง Comp) เช่น วันนั้นโรงแรมมีแขกทั้งสิ้น 250 ห้อง แต่มีแขกที่เป็น Paying Room แค่ 248 ห้อง มี 2 ห้องเป็น Comp room และมี Room Revenue 1,000,000 บาท วิธีการหาก็จะนำ Room Revenue / Guest Paying Room จะได้ = ARR (1,000,000/248 = 4,032.26 บาทต่อห้อง) แต่ถ้าบางโรงแรมต้องการนำห้อง Comp Room ไปรวมด้วยอันจะทำให้มี Occ. สูงแต่ ARR ก็จะต่ำลง ก็เปลี่ยนจากใช้ Total Guest Paying Room มาเป็น Total Guest In House Room **ข้อสังเกตคือ*** บางโรงแรม Occupancy สูงมากเกือบ 100% แต่ ARR อาจจะต่ำเพียงแค่ 2,000 กว่าบาทก็ได้ เทียบได้กับบางโรงแรมที่ Occupancy ต่ำกว่าอาจจะแค่ 30% แต่ ARR สูงกว่า 3,000 - 4,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Occupancy สูงก็ไม่ได้ส่งผลให้ดีกว่าเสมอไป เพราะถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างโรงแรมที่มี Occupancy สูง ARR 2,000 บาทต่อห้องกับโรงแรมที่ Occupancy ต่ำกว่าแต่ ARR 4,000 บาท แสดงให้เห็นถึงสภาพการทำงานของแผนกแม่บ้านและแผนก Operation อื่นๆ เนื่องจากโรงแรมที่ Occupancy สูงกว่าจากตัวอย่างนี้แผนกแม่บ้านของโรงแรมที่ Occupancy สูงกว่าจะต้องทำความสะอาดและเตรียมห้องพักห้องพักแขกและบริการแขกถึง 2 ห้องเพื่อที่จะได้ยอด ARR ให้เท่ากับโรงแรมที่มี Occupancy ต่ำกว่าตนเองแค่ 1 ห้อง
• Revenue Per Available Room หรือ REV PAR ลักษณะจะคล้ายกับ ARR แต่แตกต่างกันที่ REV PAR จะเป็นการนำ Room Revenue มาหารกับ Total Room Available ทั้งหมดในโรงแรม เช่น หากวันนั้นมี Room Revenue 1,000,000 บาท และมี Room Available ทั้งหมดในโรงแรม 500 ห้องการหาก็จะเป็น 1,000,000/500 = Rev Par 2,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ค่าเฉลี่ยต่อห้องพัก ทั้งหมด ในโรงแรมไม่ว่าจะมีแขกหรือไม่มีแขกย้ำว่า ทั้งหมดนะครับ
https://www.facebook.com/Cemshalls2017/photos/a.1332363603545480.1073741828.1314774611971046/1560044447444060/?type=3&theater
****บริการให้คำปรึกษาและรับบริหารโรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาวจาก CEMS HALLS สนใจรายละเอียดและติดต่อสอบถามได้ที่ 033 004 953, 081 949 3713 หรือ contact@cemshalls.com
สำหรับการทำธุรกิจโรงแรมนั้น ตัวเลขง่ายๆ ที่สามารถบ่งบอกแนวโน้มและรายได้ของโรงแรมนั้นส่วนใหญ่จะเป็นตัวเลขที่เกี่ยวกับรายได้ค่าห้องและอัตราการเข้าพักซึ่งหลักๆ แล้วจะประกอบไปด้วยหัวข้อดังนี้คือ
• Occupancy หรือ Occ. เวลาที่พนักงานโรงแรมเค้าคุยกันหรืออวดกันเล่น ๆ ในหมู่พนักงานเค้าเจอหน้ากันก็จะถามกันประมาณว่า “เฮ้ย โรงแรมแก Occupancy เท่าไหร่” หรือบางครั้ง GM หรือ เจ้าของโรงแรมเดินมาถามเองเลยก็มีว่า Occupancy วันนี้เท่าไหร่” ซึ่งไอ้ตัว Occupancy นี้มันเป็นตัวบ่งบอกถึงปริมาณแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมต่อห้องพักที่โรงแรมมีทั้งหมดในวันนั้นหลังจากปิดรอบว่าเป็นกี่ % จากจำนวนเต็ม 100% โดยสูตรการคำนวณนี้จะมาจาก Total Guest In House Room / Total Room Available แล้วคูณด้วย 100 เช่น สมมุติว่าวันนั้นมีแขก In House 250 ห้องและโรงแรมมีห้องพักทั้งหมด 500 ห้อง วิธีคิดก็จะเอา 250/500*100 = 50.00% แบบนี้ก็แสดงว่ามีแขกเข้าพักถึง 50% จากจำนวนห้องพักที่โรงแรมนั้นมี ข้อมูลตัวนี้โรงแรมแต่ละแห่งจะสามารถแชร์กันได้แต่ต้องตกลงกันก่อนนะครับว่าจะทำการแบ่งปันกันนะเพราะบางที่เขาก็ไม่อยากแชร์กับใคร
- Average Room Rate หรือ ARR เป็นการหาค่าเฉลี่ยของห้องพักที่เป็น Guest In House Room ในวันนั้น บางโรงแรมก็จะนำห้องที่เป็น Complimentary Room มารวมในการหา ARR ด้วยแต่บางโรงแรมก็ไม่นำมารวมเพราะจะทำให้ค่าเฉลี่ยต่ำลงวิธีการหา ARR ทำได้โดยการนำ Total Room Revenue (รายได้เฉพาะค่าห้อง) / Total Guest Paying Room (เฉพาะห้องที่แขกจ่ายเงินมาไม่รวมห้อง Comp) เช่น วันนั้นโรงแรมมีแขกทั้งสิ้น 250 ห้อง แต่มีแขกที่เป็น Paying Room แค่ 248 ห้อง มี 2 ห้องเป็น Comp room และมี Room Revenue 1,000,000 บาท วิธีการหาก็จะนำ Room Revenue / Guest Paying Room จะได้ = ARR (1,000,000/248 = 4,032.26 บาทต่อห้อง) แต่ถ้าบางโรงแรมต้องการนำห้อง Comp Room ไปรวมด้วยอันจะทำให้มี Occ. สูงแต่ ARR ก็จะต่ำลง ก็เปลี่ยนจากใช้ Total Guest Paying Room มาเป็น Total Guest In House Room **ข้อสังเกตคือ*** บางโรงแรม Occupancy สูงมากเกือบ 100% แต่ ARR อาจจะต่ำเพียงแค่ 2,000 กว่าบาทก็ได้ เทียบได้กับบางโรงแรมที่ Occupancy ต่ำกว่าอาจจะแค่ 30% แต่ ARR สูงกว่า 3,000 - 4,000 บาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่า Occupancy สูงก็ไม่ได้ส่งผลให้ดีกว่าเสมอไป เพราะถ้าเปรียบเทียบกันระหว่างโรงแรมที่มี Occupancy สูง ARR 2,000 บาทต่อห้องกับโรงแรมที่ Occupancy ต่ำกว่าแต่ ARR 4,000 บาท แสดงให้เห็นถึงสภาพการทำงานของแผนกแม่บ้านและแผนก Operation อื่นๆ เนื่องจากโรงแรมที่ Occupancy สูงกว่าจากตัวอย่างนี้แผนกแม่บ้านของโรงแรมที่ Occupancy สูงกว่าจะต้องทำความสะอาดและเตรียมห้องพักห้องพักแขกและบริการแขกถึง 2 ห้องเพื่อที่จะได้ยอด ARR ให้เท่ากับโรงแรมที่มี Occupancy ต่ำกว่าตนเองแค่ 1 ห้อง
• Revenue Per Available Room หรือ REV PAR ลักษณะจะคล้ายกับ ARR แต่แตกต่างกันที่ REV PAR จะเป็นการนำ Room Revenue มาหารกับ Total Room Available ทั้งหมดในโรงแรม เช่น หากวันนั้นมี Room Revenue 1,000,000 บาท และมี Room Available ทั้งหมดในโรงแรม 500 ห้องการหาก็จะเป็น 1,000,000/500 = Rev Par 2,000 บาท ซึ่งเป็นรายได้ค่าเฉลี่ยต่อห้องพัก ทั้งหมด ในโรงแรมไม่ว่าจะมีแขกหรือไม่มีแขกย้ำว่า ทั้งหมดนะครับ
****บริการให้คำปรึกษาและรับบริหารโรงแรมระดับไม่เกิน 3 ดาวจาก CEMS HALLS สนใจรายละเอียดและติดต่อสอบถามได้ที่ 033 004 953, 081 949 3713 หรือ contact@cemshalls.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น